วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ไม้นิ้ว เอื้องสายล่องแล่ง/สายเชียงใหม่Den.aphyllum


เอื้องสายล่องแล่ง หรือเอื้องสายเชียงใหม่ หรือที่บางถิ่นเรียกเอื้องสายไหม กล้วยไม้ที่มีชื่อเรียกหลายชื่อนี้ เป็นกล้วยไม้ไทยดอกสวยมีกลิ่นหอมอ่อนที่เลี้ยงง่ายมาก เป็นกล้วยไม้ทนสภาพอากาศร้อนได้ดี ออกดอกง่ายดอกพรูดกสวยครับ ดอกออกตามข้อ ดอกสีชมพูอ่อน กลีบปากเป็นแผ่นใหญ่สีขาวครีม ฤดูดอกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 
ไม้รุ่น เอื้องมอนไข่

  ไม้รุ่นมอนไข่ คัดต้นสวย ๆ จำหน่ายครับดังในรูป ไม้ชุดนี้เป็นไม้เมล็ด จึงเลี้ยงง่ายและให้ดอกง่ายกว่าไม้ป่า ครับ ชุดนี้คัดฟอร์มกลม ๆ ช่อยาว ๆ มาเป็นพ่อแม่พันธุ์ ไม้ชุดนี้ที่เป็นไม้นิ้วทางสวนคัดส่งออกนอกครับ แล้วก็คัดบางส่วน เก็บไว้ดูดอก ซึ่งก็คือไม้รุ่นชุดนี้นี่เองครับ เห็นต้นสวย ๆ และเป็นไม้ส่งออกด้วย จึงขอทางสวนแบ่งมาจำหน่ายครับ มี จำนวนไม่มาก
กล้วยไม้นิ้วช้างแดงสีเข้ม


กล้วยไม้ช้างแดง เป็นกล้วยไม้ไทยอีกชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ในอดีตเป็นกล้วยไม้หายากในธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ช้างแดงต่อๆกันมาเป็นเวลานานหลายสิบปี
      ซึ่งจากประสบการณ์ในวงการกล้วยไม้ของทีมงาน ออร์คิดทรอปปิคอล สังเกตว่าช้างแดงในยุคหลังเป็นลูกไม้ที่มีหลายๆเบอร์เป็นกล้วยไม้ที่มีสายเลือดชิดกันซึ่งทางผู้ผสมอาจไม่ทร าบว่าต้นพ่อแม่พันธุ์เป็นช้างแดงที่เมื่อสืบประวัติย้อนขึ้นไปอาจเป็นช้างแดงที่มีพ่อแม่ หรือ ต้นสายเดียวกัน ซึ่งเมื่อนำต้นลูกหลานมาผสมกัน ก็มักจะเลือกดูต้นที่ดอกสวยเป็นพ่อแม่ซึ่งเมื่อผสมได้ลูกมามักจะได้ ฝักที่มีเมล็ดน้อย เพาะขยายพันธุ์ได้ไม่มากนักในแต่ละครั้ง ซึ่งเมื่อเลี้ยงจนออกดอกก็อาจให้ลูกที่มีความแตกต่างของสีและรูปทรงได้หลากหลาย หรือมีสีอ่อนกว่าเป็นแบบแดงใส ซึ่งการป้องกันการผลิตต้นกล้วยไม้ช้างแดงที่มีสายเลือดชิดกัน ทางทีมงาน จึงพยายามใช้ต้นพ่อแม่ที่ข้ามสายกันไกลๆเพื่อให้ลูกไม้ที่มีคุณภาพ
     กล้วยไม้นิ้วช้างแดง ชุดนี้เป็น ลูกช้างแดง สีเข้ม ต้นพ่อแม่พันธุ์ เป็นช้างแดงช่อสวย สีเข้ม สายพันธุ์ ของพลโท วิสูตร นายกสมาคมกล้วยไม้ลพบุรี ผสมและพัฒนาสายพันธุ์ กับช้างแดงช่อยาว จากสวนจริญญาออร์คิด ซึ่งการผสมครั้งนี้ได้คัดต้นที่ดอกสวยและมีสีเข้มที่สุดในชุดมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ลูกไม้ที่ได้มีลักษณะ ใบแคบ ยาว ที่คอใบมีสีแดงเข้ม

ไม้นิ้วเอื้องสายหลวง Dendrobium anosmum



กล้วยไม้ชนิดนี้เป็นกล้วยไม้ชนิดเอื้องสายช่อห้อย ที่ดอกใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ครับ เอื้องสายหลวงชุดนี้ คัดจากต้่นพ่อแม่พันธู์ กลีบดอกมีสีชมพูปากแต้มสีม่วงแดงเข้ม กล้วยไม้ชนิดนี้ขนาดโตเต็มที่ลำลูกกล้วยจะยาวได้ถึงสองฟุต ออกดอกดกตามข้อดอกบานทนประมาณ7-10วันครับ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฤดูดอกช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน 
      กล้วยไม้ เอื้องสายหลวงชนิดนี้เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่าย สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่าย และทนสภาพที่ร้อนได้ดี ออกดอกได้ในพื้นที่ราบ นิยมปลูกแขวนในภาชนะ หรือปลูกแขวนติดกิ่งไม้ท่อนไม้เนื้อแข็ง โดยส่วนมากมักใช้วัสดุปลูกรองต้นก่อนปลูก เช่นรากเฟินชายผ้าสีดา หรือ กาบมะพร้าว ควร เลี้ยงในพื้นที่ ที่อากาศถ่ายเทสะดวกไม่อับลม ได้้แสงอย่างเพียงพอ รดน้ำให้ชุ่มวันละครั้งและดูแลควบคุมความชื้นให้ดี อย่าให้เครื่องปลูกในภาชนะแฉะจนนานเกินไป
      การดูแลให้ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยเกร็ดละลายน้ำสูตร เสมอ ๒๑-๒๑-๒๑ ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่บทความเรื่องเอื้องสายหลวง ที่ เอื้องสายหลวงไทย เอื้องสายหลวงลาว เอื้องสายหลวงใต้ ( Dendrobium anosmum )

ไม้รุ่น เอื้องมะลิใบคู่ (ไม้หอม) Dendrobium hymenanthum

 กล้วยไม้ หวายพัันธุ์แท้ ขนาดเล็ก ต้นแคระแตกกอได้ง่าย กล้วยไม้ชนิดนี้เป็นกล้วยไม้ป่ากระจายพันธุ์ตั้งแต่ อินเดีย พม่าไทย มาเลเซีย เวียดนาม และบอร์เนียว สามารถปลูกได้ดีในพื้นที่อากาศร้อน ในระดับความสูงตั้งแต่๕oเมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ลักษณะเมื่อโตเต็มที่ลำลูกกล้วยมีความสูงเพียง๓-๕ซม.มีใบอยู่ช่วงปลาย มีตาดอกขนาดเล็กตรงกลางยอด ดอกมีสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกดก สามารถ ออกเป็นพุ่มรอบต้นได้ หากเลี้ยงเป็นกอ ฤดูดอก ในเดือน มีนาคม-กรกฎาคม
      กล้วยไม้ชนิดนี้มักนิยมเลี้ยงแขวนติดไม้ หรือปลูกในภาชนะแขวนขนาดเล็ก ทนกับสภาพที่ค่อนข้างแห้งได้ดี ควรปลูกในที่ได้รับแสงรำไรค่อนข้างไปทางแสงมาก แต่ไม่ควรนำมาแขวนตากแดดโดยตรง เครื่องปลูกนิยมใช้รากชายผ้าสีดา หรือกาบมะพร้าว กล้วยไม้ชนิดนี้ชอบอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับลม เครื่องปลูกที่ใช้ควรหลีกเลี่ยงวัสดุที่แฉะอมน้ำมากและนานเกินไปเมื่อเลี้ยงเป็นกอใหญ่จะให้ดอกที่ดกดูสวยงามและมีกลิ่นหอมเวลาบานพร้อมๆกัน

ไม้ช่อแรก เขากวางแดง ฉัตรดา ชิเนนทร Phal.cornu-cervi forma chattaladae "Chinanthorn"

กล้วยไม้ เขากวางแดง หรือกวางแดง เป็นชื่อเรียกที่ ติดปากคุ้นหูสำรับ ช่วงระยะ๔-๕ปีที่ผ่านมา กล้วยไม้ ชนิดนี้เป็นกล้วยไม้ในตำนาน รุ่นล่าสุด ที่เป็นที่นิยม เช่นเดียวกับ กล้วยไม้ช้างแดง ในอดีตจาก กล้วยไม้ป่า เอื้องเขากวางอ่อน ดอก ลายแต้มธรรมดาๆ จำนวน หลายพันหลายหมื่นต้น ที่มีกระจายพันธุ์ ตามป่าธรรมชาติ ทั่วทุกภาค พบเพียงกล้วยไม้ป่า เขากวางต้น พิเศษ เพียงสองต้น ในช่วงระยะเวลาห่างกันนับสิบๆปี นับตั้งแต่ปีพ ศ.๒๕๑๘ ที่ได้มีการค้นพบ กล้วยไม้ป่า เขากวางแดงต้นแรก และกว่า๓o ปีต่อมาในการค้นพบต้นที่สอง ในปีพศ.๒๕๔๓ หลังจากนั้นมา จึงเป็นช่วงที่มีการผสมพัฒนาพันธุ์ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ ที่คงที่ และเพื่อเป็นการขยายปริมาณ เพื่ออนุรักษ์ไม่ให้กล้วยไม้หายากชนิดนี้ สูญพันธุ์หมดไป จนเป็นตำนานเล่าขานที่โดดเด่น ไม่แพ้การสร้างสายพันธุ์ กล้วยไม้ช้างแดงของไทย จนเป็นมรดกกล้วยไม้ไทย ที่โ่ด่งดังโจษขานไปทั่วโลก 

      กล้วยไม้ เขากวางแดงต้นชิเนนทร ชนิดนี้ เป็นกล้วยไม้ที่ปัจจุบันไม่สามารถหาได้จากการเก็บหรือสั่งซื้อกล้วยไม้ป่าทั่วไป ซึ่งของธรรมชาติทั่วไปจะ มีดอกลายแดงพื้นเหลือง เขากวางแดงของเรา ที่มีปลูกเลี้ยงจะเป็น ต้นทีเพาะเมล็ดที่ได้ จากการผสมข้ามต้นในระหว่างเขากวางแดงสายชิเนนทร ซึ่งทางเราได้ติดตามการผสมจากต้นพันธุ์กล้วยไม้เขากวางแดงสายตรงจากคุณชิเนนทรเจ้าของ เขากวางแดงต้นพ่อแม่ดั่งเดิมเท่านั้นไม่มีการข้ามสาย ไปผสมกับต้นลายแดง นอกสายต้นอื่นเป็นอันขาด ซึ่งในการคัดผสมแต่ละครั้งจะได้ลูกไม้ในจำนวนจำกัด เพราะต้องการเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ 

      กล้วยไม้ เขากวางแดง เป็นกล้วยไม้ทนร้อน ที่ปลูกเลี้ยงง่ายอีกชนิดหนึ่ง นิยมปลูกใส่ กระเช้า ,กระถางแขวน หรือปลูกติดไม้แขวน วัสดุปลูกเช่นมะพร้าวสับ หรือรากเฟินชายผ้าสีดา กล้วยไม้ชนิดนี้ ชอบอากาศโปร่งถ่ายเทสะดวก แสง รำไร ระยะที่กำลังแทงยอดใบอ่อน หากอยู่ในช่วงฤดูฝน ที่ฝนตกหนักติดต่อกัน ควรเก็บต้นกล้วยไม้เข้าในที่ร่มกันฝนชั่วคราว เพราะฝนที่ตกอย่างหนัก อาจสร้างความเสียหายแก่ยอดและใบอ่อนได้ รดน้ำ วันละครั้ง ช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงค่ำ ใช่ปุ๋่ยเกร็ดละลายน้ำ สูตรเสมอ 21-21-21 ตามอัตราส่วนที่ระบุข้างฉลาก ใช้ตามอัตราส่วน ที่ระบุข้างภาชนะ ฉีดพ่น สัปดาห์ละครั้ง ผู้ปลูกเลี้ยง อาจใช้สลับกับปุ๋ยสูตรตัวกลางตัวท้ายสูง16-21-27เป็นบางครั้ง ตามอัตราส่วนอาทิตย์ละครั้ง หรืออาจเสริมด้วยปุ๋ยเม็ดละลายช้าสูตร3เดือน โรยเพียงหยิบมือ(ประมาณ10-15เม็ด)บริเวณใกล้โคนต้น บนผิวหน้าของเครื่องปลูก -สารเคมีป้องกันเชื้อรา ฉีดพ่นสลับกันเป็นระยะ การดูแลที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ จะทำให้กล้วยไม้โตเร็วขึ้น กล้วยไม้เขากวางแดง ขนาดช่อแรก ชุดนี้ สามารถนำไปย้ายปลูก ลงกระถางเดี่ยวขนาด๓นิ้วครึ่ง หรือมัดต้นปลูกติดไม้แขวนเพื่อให้ต้นเจริญเติบโตเป็นกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ได้แล้วครับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติเขากวางแดงได้ที่ลิงค์ เขากวางอ่อนดอกแดงต้นแรกของโลก

ไม้รุ่น กุหลาบต้นแคระ(แม่เมยxกุหลาบโคราชโกกิ)


กล้วยไม้ชุดนี้เป็น ลูกผสมเอื้องกุหลาบแม่เมย กับกุหลาบโคราชโกกิ(เอื้องกุหลาบเหลืองโคราช X เอื้องกุหลาบลอเลนเซีย) ขนาดต้นเล็กแคระ แต่ให้ช่อดอกยาว ดอกสีชพู มีกลิ่นหอม ลักษณะดอกคล้าย เอื้องกุหลาบแม่เมยแต่กลีบปากมีขนาดใหญ่กว่า หากเลี้ยงให้สมบูรณ์ ช่อดอกจะแตกแขนงได้ครับ 
      กุหลาบแคระต้นนี้เป็นกล้วยไม้รากอากาศที่เลี้ยงง่าย ทนร้อน สามารถย้ายปลูกติดไม้แขวนได้ ขนาดออกดอกแล้วทุกต้น ครับปลูกเลี้ยงง่าย ทน ออกดอกได้ง่ายและสม่ำเสมอกว่ากล้วยไม้ป่าครับ 
      การดูแล เลี้ยงไว้ที่แสงรำไร อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ชอบเครื่องปลูกที่แฉะแน่นทึบเกินไปเพราะเป็นกล้วยไม้รากอากาศ รดน้ำวันละครั้ง บำรุงต้นด้วยปุ๋ยสูตรเสมอ 21-21-21 อาจใช้ปุ๋ยสลับกัน ระหว่างสูตรเสมอ กับปุ๋ยตัวกลางตัวท้ายสูงสูตร 16-21-27เพื่อกระตุ้นการเก็บสะสมอาหาร เพื่อการให้ดอกที่ดีสมบูรณ์สวยงาม
การกระจายพันธุ์
พืชในวงศ์กล้วยไม้นั้นสามารถพบได้ทั่วโลก มีถิ่นอาศัยในหลายๆภูมิประเทศยกเว้นทะเลทรายและธารน้ำแข็ง โดยส่วนมากจะพบในเขตร้อนของโลก คือเอเชีย,อเมริกาใต้ และอเมริกากลาง นอกจากนั้นยังพบเหนืออาร์กติก เซอร์เคิลในตอนใต้ของพาทาโกเนียและยังพบบนเกาะแมคควารี ซึ่งใกล้กับทวีปแอนตาร์กติกา
การกระจายพันธุ์โดยสังเขปมีดังนี้:
  • อเมริกาเขตร้อน: 250 - 270 สกุล
  • เอเชียเขตร้อน: 260 - 300 สกุล
  • แอฟริกาเขตร้อน: 230 - 270 สกุล
  • โอเชียเนีย: 50 - 70 สกุล
  • ยุโรปและเอเชียเขตอบอุ่น: 40 - 60 สกุล
  • อเมริกาเหนือ: 20 - 25 สกุล
การจำแนกกล้วยไม้
วงศ์ย่อยต่างๆ ของกล้วยไม้ ได้แก่
  • APOSTASIOIDEAE Rchb. f. เป็นกลุ่มไม้ที่เติบโตบนพื้นดินในป่า มี 2 สกุล คือ Apostasia และ Neuwiedia
  • CYPRIPEDIOIDEAE Lindley เป็นกลุ่มไม้ที่เกิดบนพื้นดิน โขดหิน และบนซากอินทรีย์วัตถุ มี 4 สกุล คือ CypripediumPaphiopedilum (สกุลรองเท้านารี) ,Phragmipedium และ Selenipedium
  • SPIRANTHOIDEAE Dressler ไม่พบกล้วยไม้ไทย และลูกผสมไทยที่เกิดในวงศ์ย่อยนี้
  • ORCHIDOIDEAE ไม่พบในไทย
  • EPIDENDROIDEAE วงศ์ย่อยนี้มีความหลากหลายด้านที่อยู่อาศัย และรูปร่างลักษณะ มีหลายสกุลในวงศ์นี้ที่พบ และนิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่ สกุล Vanillaสกุลต่างๆ ในกลุ่มแคทลียา สกุลหวาย และสกุลสิงโตกลอกตา
  • VANDOIDEAE Endlicher ได้แก่ กลุ่มแวนด้า
ประวัติ
ล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้า ประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จน กระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง
แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็น อาณาบริเวณอเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของ กล้วยไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา
การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย จากการสำรวจในอดีตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้อยู่ในป่าธรรมขาติ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ทั้งประเภทที่พบอยู่บนต้นไม้ บนพื้นผิวของภูเขาและบนพื้นดิน สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวยแก่การเจริญงอกงาม ของกล้วยไม้เป็นอย่างมาก ในอดีตชาวชนบทของไทย โดยเฉพาะในแหล่งที่เคยมีกล้วยไม้ป่าอุดมสมบูรณ์ ได้นำกล้ายไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงโดยเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำกล้วยไม้มาปลูกไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ไกล้ๆ บ้านเรือน การเลี้ยงกล้วยไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกเลี้ยงอย่างจริงจังโดยชาวตะวัน ตกผู้หนึ่ง ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เห็นว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงได้สร้างเรือนกล้วยไม้อย่างง่ายๆ และนำเอากล้วยไม้ป่าจากเขตร้อนของอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกล้วยไม้ในเอเชียและเอเซียแปซิฟิค โดยนำมาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรกในขณะเดียวกันก็มีเจ้านายชั้นสูงและบรรดา ข้าราชการที่ใกล้ชิด ให้ความสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มบุคคลสูงอายุซึ่งเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อความสุขทางใจ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ อย่างไรก็ตามการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ คือ ในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้มีเงินในยุคนั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงที่นิยมกล้วยไม้พันธุ์ต่างประเทศ ส่วนกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของประเทศไทยจะนิยมและยกย่องเฉพาะพันธุ์ ที่หายากและมีราคาแพง
หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475 สภาพการเลี้ยงก็ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเช่นเดิม แต่ผลงานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กล้วยไม้ในต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลกระตุ้น ให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้ในประเทศไทยสนใจกล้วยไม้ลูกผสมมากขึ้น มีการสั่งกล้วยไม้ลูกผสมจากประเทศในทวีปยุโรป สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย การพัฒนาการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นไปอย่างจริงจัง เมื่อประมาณปี 2493 โดยได้มีการวิจัย นับตั้งแต่การรวบรวมปลูกในระดับพื้นฐาน ต่อมาในปี 2497 ได้เริ่มเปิดการฝึกอบรมการเลี้ยงกล้วยไม้ให้แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป และมีการจัดตั้งชมรมกล้วยไม้ขึ้นในปี 2498 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้เมื่อปี 2500 และในปีเดียวกันนี้ ได้เริ่มมีการนำเอาความรู้ในเรื่องกล้วยไม้และแนวความคิดในการพัฒนาวงการ กล้วยไม้ออกเผยแพร่ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุ และมีการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ทำให้วงการกล้วยไม้ของประเทศไทย ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการจัดตั้งสมาคมและสโมสรเกี่ยวกับกล้วยไม้ขึ้นในภาคและจังหวัด ต่างๆ ในปี 2501 ได้มีการเปิดการสอนวิชากล้วยไม้ขึ้นในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักวิชาการและพัฒนางานวิจัยกล้วยไม้ของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในวง แคบอีกต่อไป จากการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้มีการนำเข้ากล้วยไม้ลูกผสมจากต่างประเทศ เช่น จากฮาวายและสิงคโปร์จำนวนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้หันมารวบรวมพันธุ์ผสมและเพาะพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ใน ประเทศ ทั้งที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จากป่า และลูกผสมที่สั่งเข้ามาแล้วในอดีต ปี 2506 วงการกล้วยไม้ของไทยได้เริ่มมีแผนในการขยายข่ายงานออกไปประสานกับวงการกล้วย ไม้สากล เพื่อยกระดับวงการกล้วยไม้ในประเทศให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ปี 2509 เริ่มการทำสวนกล้วยไม้ตัดดอกอย่างจริงจัง เมื่อไทยเริ่มส่งออกกล้วยไม้ไปสู่ตลาดต่างประเทศในยุโรปตะวันตก เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ต่อมาจึงขยายตลาดไปสู่ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา.